ในการเล่นระหว่างแคชเกม และทัวร์นาเมนต์นั้น แม้จะเป็นเกม NLH เหมือนกัน และมีหลักการเล่นอยู่บนพื้นฐาน concept เดียวกัน แต่ด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่แตกต่างกัน ทำให้กลยุทธ์ในการเล่นระหว่างแคชเกม กับทัวร์นาเมนต์ ก็ย่อมจะแตกต่างกันด้วย ซึ่งวันนี้ ผมจะมาขอสรุปองค์ประกอบที่แตกต่าง ระหว่างแคชเกม และทัวร์นาเมนต์ ที่ส่งผลต่อกลยุทธ์การเล่นของเกมทั้ง 2 แบบกัน

1. Rake & Ante

แคชเกม = มีการคิด rake หรือค่าธรรมเนียมในการเล่น หักออกจาก pot ทุกตาในการเล่น ทำให้กำไรใน pot ลดลง ส่งผลให้ range ของแคชเกม จะต้องแคบลง (tight ขึ้น) ไม่ว่าจะตอน preflop หรือ postflop (call น้อยลง raise และ/หรือ fold มากขึ้น) เพื่อเพิ่มโอกาสให้ equity โดยเฉลี่ยของ range เราสูงขึ้น มาชดเชยกับ pot odds ที่แย่ลงจากการถูกหัก rake เพื่อรักษาโอกาสให้ EV ของเรายังเป็นบวกอยู่

ทัวร์นาเมนต์ = มีการบังคับลง ante หรือเงินค่าต๋งจากทุกคนเข้าไปใน pot ทุกตาในการเล่น ทำให้กำไรใน pot สูงขึ้น ส่งผลให้ range ของทัวร์นาเมนต์ จะกว้างขึ้น (loose ขึ้น) ไม่ว่าจะตอน preflop หรือ postflop (call มากขึ้น raise และ/หรือ fold น้อยลง) เนื่องจาก pot odds ดีขึ้น มาช่วยชดเชยกับ equity โดยเฉลี่ยของ range เราที่ลดลง ทำให้ EV เรายังเป็นบวกอยู่ได้

ตรงจุดนี้ จะส่งผลกับ preflop range มากเป็นพิเศษ เพราะยังไม่ทันจะเล่น flop สำหรับแคชเกม pot odds ก็แย่ลงแล้ว  หากมีคนเข้ามาเล่นด้วย จากการโดนหัก rake และสำหรับทัวร์ pot odds ก็ดีขึ้นกว่าแคชเกมแล้ว เพราะมี ante เพิ่มเข้าไปใน pot ให้ opening range ของแคชเกม tight กว่าทัวร์นาเมนต์มาก ในทุกๆตำแหน่ง และสำหรับ vs open range ของแคชเกม ก็จะมี call น้อย (ถ้าไม่ใช่ BTN หรือ BB) แต่จะเน้น 3bet or fold มากกว่า ขณะที่ vs open range ของทัวร์นาเมนต์ จะมี call ได้เยอะกว่า เพราะ pot odds คุ้มกว่ามาก

=================================

2. Stack size & SPR

แคชเกม = stack size มักจะ deep ตลอด (ส่วนใหญ่จะเติมให้เต็ม 100bb ตลอด หรือมากกว่านั้น) ทำให้ SPR มีค่าสูง (เพราะ stack มักจะใหญ่กว่า pot มากๆ โดยเฉลี่ย)

ทัวร์นาเมนต์ = stack size มักจะ short อยู่บ่อยๆ (ส่วนใหญ่มักจะต้องเล่นตอน stack อยู่ระหว่า 20-40bb อยู่บ่อยๆ) ทำให้ SPR มีค่าต่ำ (เพราะ stack มักจะใหญ่กว่า pot เพียงเล็กน้อย โดยเฉลี่ย)

จากการที่แคชเกมต้องเล่นด้วย stack ที่ deep มากๆ และอยู่ในสถานการณ์ที่ SPR มีค่าสูงบ่อยๆ ทำให้ต้องเล่น postflop บ่อย และลึก (ถึง street หลังๆ) บ่อยกว่าทัวร์นาเมนต์มาก ดังนั้น ผู้เล่นแคชเกมที่อยากจะพัฒนาฝีมือ จึงมักจะต้องศึกษากลยุทธ์ postflop จนถึง river ให้บ่อยขึ้น และด้วยความที่ SPR สูง ทำให้การเล่น postflop ต้องมีความระมัดระวังและ tight มากขึ้น (ex.top pair ที่ river อาจจะไม่ดีพอที่จะ call ถ้าบอร์ดมี 3 card flush แล้วเจอ bet ใหญ่)

ขณะที่ด้วยความที่การเล่นทัวร์นาเมนต์ เรามักจะต้องเล่น short stack บ่อยๆ ทำให้คนที่อยากเล่นทัวร์นาเมนต์เก่งๆ ต้องศึกษากลยุทธ์ preflop ให้บ่อยขึ้น ว่าใน stack แต่ละระดับ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์แต่ละแบบ ควรจะโต้ตอบอย่างไรตอน preflop แฮนด์ไหนควร shove ไปเลยมากกว่า call หรือ 3bet หรือแฮนด์ไหนรับ shove ได้ จากตำแหน่งไหน ก็ต้องศึกษาให้ดี เพราะเป็นสถานการณ์ที่เราเจอบ่อย และส่งผลต่อ EV มากๆ ขณะเดียวกันด้วยความที่มักจะเจอ SPR ต่ำๆ ทำให้ range ในการเล่น postflop ของทัวร์นาเมนต์ก็จะกว้างหรือ loose กว่าปกติ เพราะด้วยความที่ stack เหลือน้อย จะทำให้ pot committed อย่างรวดเร็ว (หลายครั้งต้อง all-in หรือ call all-in ที่ flop หรือ turn บ่อยๆ เมื่อ short stack) จึงต้อง defend (call หรือ raise) กว้างขึ้น เช่น อาจจะต้อง call all-in กับ top pair low kicker, call top pair กับบอร์ดที่มี 3 card flush บ่อยกว่า ทำให้เราต้องวัดกับคู่แข่งบ่อยขึ้น เสี่ยงขึ้น variance ของคนเล่นทัวร์นาเมนต์จึงสูงกว่าคนเล่นแคชเกมอยู่เสมอ

=================================

3. ICM

แคชเกม = ไม่มี ICM จำนวนชิพที่มี เท่ากับมูลค่าของเงินที่มีอยู่เลย และทุกคนมักจะมีชิพ deep เท่าๆกันเกือบหมด ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใครมากนัก

ทัวร์นาเมนต์ = มีประเด็นเรื่อง ICM เนื่องจากจำนวนชิพที่มี ไม่เท่ากับมูลค่าของเงินที่จะได้ ทำให้ช่วงที่เงินรางวัลก้าวกระโดด (ITM, Final Table) โดยทั่วไปต้องเล่นแบบระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้าเราอยู่ในตำแหน่งที่มีชิพกลางๆ เพราะถ้าพลาด อาจจะตกรอบก่อนคนที่มีชิพน้อยกว่า ทำให้เสียเงินรางวัลไปเป็นจำนวนมากได้

ด้วยเหตุนี้ ทำให้โดยสรุป ICM จะส่งผลต่อคนที่มีจำนวนชิพที่แตกต่างกัน ดังนี้

Big Stack = เสี่ยงน้อยสุด เพราะต้องให้เสียชิพ ก็ยังไม่เสียหายมาก จึงควรเล่นแบบ loose aggressive ด้วย range ที่กว้างขึ้น เพื่อกดดันคู่แข่ง และขโมยชิพ จาก Mid Stack และ Short Stack ที่อยู่ซ้ายมือของตัวเองบ่อยๆ

Short Stack = เสี่ยงปานกลาง เพราะมีอะไรให้เสียน้อย ยังไงก็ต้องเสี่ยงเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่แล้ว จึงควรเล่นด้วย range ปกติ และ shove หรือrejam กับแฮนด์ที่เหมาะสม

Mid Stack = เสี่ยงมากสุด เพราะถ้าเสียชิพ จะทำให้อันดับตกเยอะ และจะเสียมูลค่าเงินรางวัลไปเยอะมาก โดยเฉพาะถ้าเกิดตกรอบก่อน Short Stack ทำให้ต้องเล่นแบบ tight กว่าปกติ เน้นคัดไพ่ดีๆมา call เท่านั้น และพยายามนั่งอยู่ขวามือของ Big Stack ถ้าเลือกได้ (เช่น ตอน final table) เพื่อให้ไม่ถูกกดดันจาก Big Stack บ่อยๆ 

================================

นั่นคือกลยุทธ์โดยสรุป จาก concept ขององค์ประกอบบางอย่างที่แตกต่างกันระหว่างแคชเกม กับทัวร์นาเมนต์ ทำให้เราต้องศึกษา และรู้จักปรับตัว และปรับเปลี่ยนการเล่นให้เหมาะสม เมื่อต้องเปลี่ยนมาเล่นแคชเกมหรือทัวร์นาเมนต์ เพราะเกมแต่ละแบบ ก็ย่อยมมีกลยุทธ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน ที่หากเราเข้าใจและศึกษาให้ดีแล้ว จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เราเป็น winning player ของเกมนั้นได้อย่างแน่นอนครับ

#Zuburbian1

#TeamAceAcademy