ในเกมโป๊กเกอร์ NLH นั้น มีรูปแบบของเกมที่แตกต่างกันมากมาย แต่ประเภทของเกมหลักๆนั้น เราจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ “แคชเกม” และ “ทัวร์นาเมนต์”

แคชเกม (Cash Game) หรือเกมเงินสด

คือเกมที่เราสามารถจะเล่น หรือจะเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ทุกช่วงเวลา โดยการนำเงินไปแลกเป็นชิพเข้าไปเล่น เมื่อเล่นได้กำไรเท่าไหร่ หากจะเลิก ก็ไปแลกชิพกลับมาเป็นเงินได้จำนวนตามนั้นเลย ข้อสำคัญของแคชเกมคือ ระดับของ blind จะ “คงที่ไปตลอด” ไม่มีเพิ่มขึ้นตามเวลา

ตัวอย่างเช่น เรามีเงิน 2,000 บาท จะเข้าไปเล่นแคชเกมที่ blind ราคา 10/20 บาท (sb 10 บาท bb 20 บาท) โดย buy-in หรือนำเงินไปแลกชิพเต็มอัตรา ก็จะมีชิพไว้เล่นทั้งหมด 2,000/20 = 100bb มูลค่า 2,000 บาท หลังจากเราเล่นไป 2 ชั่วโมง เรามี stack หรือเงินหน้าตัก เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 บาท หรือ 150bb เราเลิกเล่น และนำชิพไปแลกเงินกลับมา 3,000 บาท ได้กำไร 1,000 บาท ชิพที่เราได้เพิ่มจึงเท่ากับกำไรที่เราได้เพิ่มเลย

สำหรับแคชเกมออนไลน์นั้น จะมีรูปแบบของเกมแยกย่อยมาอีก เช่น แบบที่เรียกว่า “Zoom” (ใน site ของ Pokerstar) หรือ “Rush & Cash” (ใน site ของ GGPoker) ซึ่งในรูปแบบนี้จะเป็นการเล่นแคชเกมที่ทันทีที่เรา fold ไพ่ เกมจะโยกให้เราไปเล่นโต๊ะอื่นใน hand ถัดไปทันที โดยไม่ต้องรอแจกไพ่บนโต๊ะเดิม ทำให้สามารถเล่นจำนวน hand ได้เยอะกว่าการเล่นแคชเกมปกติมาก ภายในเวลาที่เท่ากัน

ทัวร์นาเมนต์ (Tournament) หรือการแข่งแบบแพ้คัดออก

จะเป็นรูปแบบของเกมที่มีการกำหนดจำนวนคนที่จะได้เงินรางวัลไว้แค่จำนวนหนึ่งของผู้สมัครทั้งหมด และจะได้เงินรางวัลลดหลั่นกันไปตามลำดับ โดยจะมีการกำหนดจำนวนเงินรางวัลการันตีทั้งหมดของการแข่ง เทียบกับจำนวนเงินค่าสมัครของผู้สมัครทุกคนรวมกัน (หรือที่เรียกว่า “Prize Pool”) หากจำนวนเงิน  โดยเราจะต้องจ่ายเงินค่าสมัครเป็น buy-in จำนวนหนึ่ง และจะได้จำนวนชิพเริ่มต้นมาเป็น stack ของเรา (ซึ่งจะไม่ได้มีมูลค่าเท่ากับจำนวนเงิน buy-in ของเราเหมือนแคชเกม) และเมื่อเล่นไปเรื่อยๆ ระดับของ blind ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ถ้าเราไม่สามารถกินชิพจากคนอื่นมาเพิ่มได้ stack ของเราจะเหลือจำนวน blind ลดลง และเมื่อ blind เราเหลือ 0 ก็จะตกรอบ และสูญเงินค่าสมัครไป หากเราอยากได้เงินรางวัล เราจึงต้องพยายามเอาชนะคนอื่นเพื่อสะสมชิพจากคนอื่นให้มากขึ้นเรื่อยๆ จนไปแตะระดับที่มีการจ่ายเงินรางวัล และรอให้คนที่เหลือตกรอบไปจนเหลือจำนวนคนเท่ากับจำนวนคนที่จะจ่ายเงินรางวัล เราถึงจะได้เงินรางวัล (เรียกว่าการ In The Money หรือ ITM) ซึ่งก็จะเล่นกันไปเรื่อยๆ จนคนตกรอบไปเรื่อยๆ

เมื่อเหลือ 9 คนสุดท้าย จะเป็นการนำคนที่เหลือทั้งหมด มานั่งเล่นรวมกันบนโต๊ะสุดท้าย (เรียกว่า Final Table) และก็จะเล่นกันไปเรื่อยๆจนคนตกรอบกันไปหมดและเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว ก็จะเป็นผู้ชนะเลิศในทัวร์นาเมนต์รายการนั้น และจะได้เงินรางวัลสูงสุดไป 

รูปแบบของทัวร์นาเมนต์ออนไลน์ จะมีรูปแบบแยกย่อยหลักๆอีก 2 รูปแบบคือ

เป็นเกมรูปแบบทัวร์นาเมนต์ที่จัดให้มีการแข่งเพียงโต๊ะเดียวจบ จำนวนผู้สมัครสูงสุดจึงคือ 6-9 คน เสมือนการเล่น final table ในทัวร์นาเมนต์ปกติ เพียงแต่ผู้ที่จะได้รับเงินรางวัลอาจจะมีเพียง 2-3 อันดับแรกเท่านั้น

เป็นเกมรูปแบบทัวร์นาเมนต์ที่มีเงินรางวัลส่วนหนึ่งเป็น “ค่าหัว” หากเราสามารถทำให้ผู้เล่นคนอื่นตกรอบด้วยการกินชิพของเขาจนหมด เราก็จะได้ค่าหัวของคนคนนั้นเป็นเงินรางวัลทันที ยิ่งหากเราสามารถทำให้คนอื่นตกรอบได้มาก เราก็จะยิ่งสะสมเงินรางวัลจากค่าหัวมากขึ้น และหากเราทำให้คนที่มีค่าหัวเยอะๆ ตกรอบได้ เราก็จะได้ค่าหัวที่คนคนนั้นสะสมมาทั้งหมดด้วย จึงเป็นรูปแบบทัวร์นาเมนต์ที่ผู้เล่นมีแนวโน้มที่จะเล่นแบบกล้าเสี่ยงมากกว่าปกติ เพื่อหวังจะกินค่าหัวของอีกฝ่าย นอกเหนือจากเงินรางวัลที่จะได้ตามลำดับ 

ความแตกต่างระหว่างแคชเกม กับทัวร์นาเมนต์

จะเห็นได้ว่าแม้แคชเกม และทัวร์นาเมนต์ จะเป็นเกม NLH ที่มีกฎกติกาเหมือนกัน แต่มีโครงสร้างของรูปแบบเกมที่แตกต่างกัน ทำให้ส่งผลต่อกลยุทธ์การเล่นที่แตกต่างกัน

โดยสรุปแล้ว ตัวแปรที่ทำให้แคชเกมแตกต่างจากทัวร์นาเมนต์ ที่ส่งผลต่อการเล่นของเรา มีดังต่อไปนี้ :

  1. Blind

อย่างที่ว่าไว้ว่า ในแคชเกมระดับของ blind จะคงที่ตลอด ขณะที่ในทัวร์นาเมนต์ ระดับของ blind จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เป็นการบีบให้ผู้เล่นต้องมี action มากขึ้น เพื่อต่อสู้สะสมชิพให้ตัวเองอยู่รอดและไต่อันดับขึ้นไป จะมัวแต่เล่นแบบรัดกุมไปตลอดไม่ได้ ไม่งั้นอาจจะโดย blind กิน stack จนหมดตัว ทำให้การเล่นทัวร์นาเมนต์ผู้เล่นโดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะการเล่นที่ aggressive มากกว่าแคชเกม

  1. Ante

สิ่งที่ทำให้ทัวร์นาเมนต์แตกต่างจากแคชเกมอีกอย่างหนึ่งก็คือ การมี Ante ซึ่งคือ “ค่าต๋ง” ที่บังคับให้ผู้เล่นทุกคนบนโต๊ะต้องจ่ายออกมารวมกันใน pot ในการเล่นแต่ละ hand โดยส่วนใหญ่จะถูกหักคนละประมาณ 0.1bb รวมกันทุกคนบนโต๊ะให้เป็น 1bb ทำให้จะมีเงินกองกลางใน pot ตั้งแต่ตอน preflop อยู่ 2.5bb (sb 0.5bb + bb 1bb + ante 1bb) ขณะที่แคชเกมจะมีเงินกองกลางใน pot เพียง 1.5bb จาก sb และ bb เนื่องจากไม่มี ante มันเลยทำให้ pot odds ของทัวร์นาเมนต์ดีกว่าแคชเกม เพราะมีเงินใน pot มากกว่าตั้งแต่แรก จึงเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้เล่นเข้ามาเล่นใน pot ได้มากกว่า ทำให้การเล่น preflop ส่วนใหญ่ในทัวร์นาเมนต์จะ loose กว่าแคชเกม เช่นมี preflop range ในการ open raise ที่กว้างกว่า

  1. Stack Size 

เนื่องจากในทัวร์นาเมนต์ blind จะมีการปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในแต่ละเลเวล ทำให้โดยเฉลี่ยแล้ว เมื่อเล่นไปสักพัก ขนาดของ stack ของเราจะลดลงเรื่อยๆ ทำให้การเล่นการเล่นส่วนใหญ่ในทัวร์นาเมนต์เราต้องเล่นด้วย stack size ขนาดเล็ก-ปานกลาง (ประมาณ 20-40bb) อยู่บ่อยๆ และเมื่อเราใกล้จะตกรอบเราก็ต้องเล่นด้วย stack ขนาดที่เล็กมาก หรือที่เรียกว่า “Short Stack” (น้อยกว่า 20bb) ทำให้การเล่นส่วนใหญ่ มักจะเป็นการเล่นที่ตัดสินกันตั้งแต่ช่วง preflop หรือจบลงด้วยการ all-in preflop กันมากกว่าการเล่นแบบแคชเกม โดยเฉพาะเมื่อยิ่ง short stack ที่มักจะเล่นแบบ shove (raise all-in) กันเลย กลยุทธ์การเล่นทัวร์นาเมนต์ จึงเน้นหนักและมีความซับซ้อนที่ช่วง preflop มากกว่า ตามขนาดของ stack size ทั้งของตัวเองและคู่แข่ง ขณะที่การเล่นแคชเกม จะมีความซับซ้อนช่วง preflop น้อยกว่า เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะมี stack ที่ deep (อาจจะมากกว่า 75-200bb) เพราะสามารถเติมชิพเพิ่มได้ตลอดเวลา ความยากและความซับซ้อนจึงอยู่ที่การเล่นช่วง postflop (flop, turn, river) มากกว่า   

  1. ICM

ICM ย่อมาจาก Independent Chip Model คือการคำนวณที่เกิดจากแนวคิดที่ว่า “จำนวนชิพ ไม่เท่ากับมูลค่าจริงของชิพ” ซึ่งจะมีผลเฉพาะการเล่นในทัวร์นาเมนต์เท่านั้น เนื่องจากชิพที่กินจากผู้เล่นคนอื่น ไม่ได้มีมูลค่าเท่ากับจำนวนเงินที่ได้จริงเหมือนในแคชเกม แต่จะได้เงินตามลำดับตำแหน่งที่กำหนดเท่านั้น (เราจะมาศึกษาเรื่อง ICM กันอีกครั้งในบทเรียนในระดับที่สูงขึ้น)

เมื่อเป็นแบบนี้ การเล่นทัวร์นาเมนต์ จึงไม่ใช่การเล่นที่เน้นการสะสมชิพให้เยอะๆ มากไปกว่าการเน้นอันดับเงินรางวัล เพราะยิ่งอันดับสูงขึ้นเท่าไหร่ เงินรางวัลที่เราจะได้ จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วง final table ที่ความแตกต่างของเงินรางวัลแต่ละอันดับ จะยิ่งสูงขึ้นมาก ทำให้หากเราเป็นผู้เล่นที่มีชิพเหลือกลางๆ และใกล้เคียงกับผู้เล่นคนที่เหลือชิพน้อยกว่า เราต้องคิดให้ดีก่อนที่จะเสี่ยงเข้าไปเล่น เพราะถ้าเล่นพลาดหรือโชคไม่ดี เราอาจจะเสียชิพไปทั้งหมดและตกรอบทันที ขณะที่ถ้าเราชนะ ต่อให้เราได้ชิพเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่เงินรางวัลของเราในลำดับถัดไป จะไม่เพิ่มขึ้นเท่าตัวตาม มันจึงอาจจะเป็นการเล่นที่ไม่คุ้มเสี่ยง เพราะในขณะเดียวกัน ถ้าเราตกรอบไป จะกลายเป็นว่า ผู้เล่นที่เหลือที่ชิพน้อยกว่าเรากลับได้เงินรางวัลเพิ่มขึ้นจากการที่เราตกรอบ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

เรื่อง ICM จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากต่อการเล่นทัวร์นาเมนต์ โดยเฉพาะในช่วงที่เงินรางวัลใกล้จะก้าวกระโดดไปอีกขั้น เช่น ช่วงที่กำลังจะ ITM (เล่นพลาดตกรอบไม่ได้เงินเลย-เล่นระมัดระวังอาจจะติดอันดับได้เงิน) หรือช่วงที่กำลังใกล้จะเข้า final table เป็นต้น ในขณะที่แคชเกม ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องนี้ เพราะกินชิพมาได้เท่าไหร่ ก็เท่ากับกำไรที่เราจะได้เลย

  1. ความผันผวน

จากการที่ทัวร์นาเมนต์มีรูปแบบที่กระตุ้นการเล่นแบบ loose และ aggressive มากกว่า หลายๆสถานการณ์ก็ต้องเสี่ยงเล่นกับ short stack และต้องวัดดวงช่วง preflop กันเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงโอกาส ITM ค่อนข้างน้อย (อันดับที่จะ ITM ประมาณ 12-15% ของจำนวนผู้เล่นทั้งหมดโดยเฉลี่ย) ทำให้การเล่นทัวร์นาเมนต์มีความผันผวนของ bankroll มากกว่า โดยเฉพาะในทางลบ มีโอกาสสูงที่เราอาจจะต้องเสียเงินค่าสมัครไปหลาย buy-in โดยที่เราไม่ ITM เลย หรือต่อให้ ITM บ้าง แต่ก็ไม่คุ้มกับค่าสมัครหลาย buy-in ที่เสียไปก่อนหน้า ทำให้มีโอกาสทำกำไรระยะยาวได้ค่อนข้างยาก หากหวังจะทำกำไรเฉลี่ยระยะยาวได้จากทัวร์นาเมนต์ ก็จำเป็นที่จะต้องติดอันดับลึกๆ เข้า final table บ่อยๆ หรือมีโอกาสได้เป็นแชมป์บาง เงินรางวัลที่ได้จึงจะก้าวกระโดด และคุ้มกับเงินค่าสมัครที่เสียไปติดๆกันหลายครั้งก่อนหน้า

ในขณะที่แคชเกมจะมีความผันผวนระหว่างการเล่นในแต่ละ hand และแต่ละ session พอประมาณ ถึงแม้อาจจะเจอช่วง downswing ที่เราโชคร้าย ทำให้ bankroll ของเราเสียไปหลาย buy-in แต่มันก็ยังพอมีโอกาสควบคุมความเสี่ยงได้ แต่มีโอกาสที่การเล่น session ถัดๆไปเราจะสามารถค่อยๆปั้นเงินสร้าง bankroll กลับมาได้ ทุกๆ hand ที่เราเล่นชนะแล้วกิน pot มา มันคือกำไรที่เราได้รับในทันที ทำให้โดยรวมแล้ว แเคชเกมจะมีความผันผวนน้อยกว่าทัวร์นาเมนต์ ค่อนข้างมาก

เมื่อเป็นแบบนี้ มันจึงกระทบการเล่นในเรื่องของการวางแผนบริหารเงินที่จะนำมาเล่น (bankroll management) เมื่อทัวร์นาเมนต์มีความผันผวนมากกว่า เราจึงจำเป็นจะต้องเตรียมเงินที่จะนำมาเล่นแบบเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้เยอะกว่าการเล่นแบบแคชเกม เพื่อไม่ให้เราเล่นแพ้จนหมดตัวได้ง่ายๆ

กลยุทธ์การเล่นที่แนะนำสำหรับเกมแต่ละประเภท

จากความแตกต่างของตัวแปรดังกล่าว ทำให้กลยุทธ์และแผนการเล่นของแคชเกมและทัวร์นาเมนต์นั้นแตกต่างกัน ผู้เล่นแคชเกมเก่งๆหลายคนอาจจะไม่ประสบความสำเร็จกับการเล่นทัวร์นาเมนต์ ขณะเดียวกัน ผู้เล่นทัวร์นาเมนต์เก่งๆหลายคนก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จในการเล่นแคชเกมระยะยาวได้เช่นกัน หากไม่สามารถปรับวิธีการเล่นใหม่เหมาะสมกับเกมแต่ละรูปแบบได้ ซึ่งหลักคิดและกลยุทธ์เบื้องต้นสำหรับเกมแต่ละแบบ ที่เราจะขอแนะนำ มีแนวทางดังต่อไปนี้ :

กลยุทธ์ที่แนะนำสำหรับแคชเกม

  1. พยายามรักษา stack ให้ deep (มากกว่า 75bb) ไว้ตลอด

เนื่องจากแคชเกมนั้น เราสามารถเติมเงินใน stack เราได้เรื่อยๆ ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่ จะมี stack deep อยู่ตลอดเวลา เพื่อที่ว่าหากเล่นใน hand ที่เราโชคดี หรือเล่นกับคนที่อ่อนกว่า เราจะมีโอกาสทำกำไรได้เยอะ (มากที่สุดคือเท่ากับ stack ที่เรามี ทำให้ stack เรา double up เป็น 2 เท่า แล้วได้กำไรเท่าตัว) เราจึงควรเล่นแบบ deep stack เช่นกัน เพื่อไม่ให้เสียเปรียบคู่แข่ง เพราะถ้าเราเลือกเล่นแบบ short stack ในขณะที่คนอื่นเล่นแบบ deep stack เราจะเสียเปรียบมาก เพราะเราจะแทบไม่สามารถ bluff คู่แข่งได้ เนื่องจาก stack ของเราเหลือน้อยเกินไป ทำให้เงินเดิมพันน้อยกว่าที่จะทำให้คู่แข่งยอมหมอบ bluff ของเราได้

  1. ศึกษา preflop range ให้แม่นยำ จะทำให้เล่น postflop ได้ง่ายขึ้น

เนื่องจากแคชเกมนั้นส่วนใหญ่จะเล่น deep stack อยู่ตลอดเวลา ทำให้กลยุทธ์ช่วง preflop จะมีความซับซ้อนน้อยกว่า เพราะมีเพียงกลยุทธ์สำหรับ deep stack เป็นหลัก ทำให้เราไม่ต้องปรับ preflop range ตาม stack size ที่เปลี่ยนไปมากนัก ดังนั้น ถ้าเราคุ้นเคย และจดจำ preflop range ได้จนชำนาญ จะทำให้เราเล่น postflop ได้ง่ายขึ้น (ในทางตรงกันข้าม เนื่องจากการเล่น postflop ในแคชเกมมีความซับซ้อนอยู่แล้ว ถ้า postflop เรายังไม่แม่น จะยิ่งทำให้เราเล่น postflop ได้ยากขึ้นไปอีก)

  1. พยายามเน้นความรัดกุม ระมัดระวังให้มากขึ้น

การเล่นแคชเกมส่วนใหญ่ จะเป็นการสู้กันในช่วง postflop เป็นหลัก ยิ่งทั้งเราและคู่แข่งมี stack ที่ deep มาก ก็ยิ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงที่เราจะเสียเงินเยอะใน hand เดียวมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อยิ่งเล่นลึกไปถึงช่วง river ดังนั้น ยิ่งเราเสียเงินเดิมพันไปใน pot มากขึ้นเท่าไหร่ และยิ่งเล่นไปในรอบที่ลึกมากขึ้นเท่าไหร่ (turn หรือ river) เรายิ่งจำเป็นต้องมี hand ที่ strong และ nut มากๆ เพื่อช่วยให้เรามีโอกาสชนะ pot มากขึ้น เราจึงจำเป็นต้องเล่นแบบระมัดระวังตัวมากๆ ถ้าเราไม่ได้มี hand ที่ใหญ่พอ เช่น แค่ top pair good kicker หรือ middle pair เป็นต้น

ในอีกมุมหนึ่ง เราก็ต้องระวังไม่ให้เรา bluff บ่อย และเสียเงินเดิมพันไปกับการ bluff มากจนเกินไป เพราะยิ่งลึก โอกาสที่จะยิ่ง bluff ผ่านจะยิ่งมีน้อยลง (เพราะมีโอกาสที่คู่แข่งจะมี strong hand มากขึ้น) สรุปคือ เราต้องระมัดระวัง ไม่ให้เรา call หรือ bluff บ่อยเกินไปใน pot ใหญ่ๆ ไม่งั้นระยะยาวเราจะเสียเงินเกินความจำเป็น 

  1. เลือกเล่นในโต๊ะ หรือระดับของเกมที่เราเหนือกว่าคนอื่น

การเล่นเพื่อทำกำไรจากแคชเกม จะเป็นการเล่นที่ต้องอาศัยค่าสถิติระยะยาวในการสะสมกำไร เราอาจจะต้องเล่นหลายหมื่นหลายแสน hand ซึ่งทำให้อาจจะต้องเจอผู้เล่นหน้าเดิมๆบ่อยๆ ดังนั้น ถ้าเราอยากจะทำกำไรให้ได้มากๆ เราจึงต้องเล่นกับผู้เล่นที่มีฝีมืออ่อนกว่าเราบ่อยๆ (และยิ่งดี ถ้ายิ่งฝีมืออ่อนกว่าเรามากๆ) และหมั่นสังเกตวิธีการเล่นของแต่ละคนไว้ให้มากๆ จากโอกาสที่เราได้เล่นกับคนหน้าเดิมๆบ่อยๆ จนเรามีหลักฐานที่ค่อนข้างแน่ใจเรือ่งแนวทางการเล่นของเขา เพื่อที่จะทำให้เราสามารถเล่นงานในจุดอ่อนของเขาได้ (เช่น bluff บ่อยไป, fold ง่ายไป, call มากไป ฯลฯ)

  1. หากอยากเก่งต้องศึกษาการเล่น postflop ให้มาก เพราะมีความซับซ้อนมาก

อย่างที่บอกไปว่า แคชเกมนั้นเล่นแบบ deep stack เป็นหลัก และสู้กันในช่วง postflop บ่อย การเล่นช่วง postflop จึงมีความละเอียดซับซ้อน หากเราอยากเป็นผู้ชนะในระยะยาวกับเกมที่มีระดับสูงขึ้น มีความยากขึ้น ต้องเจอผู้เล่นที่เก่งๆมากขึ้น เราจึงจำเป็นต้องศึกษากลยุทธ์การเล่นทั้งหลายในช่วง preflop อย่างละเอียด ต้องฝึกฝนเป็นประจำ กลับมาทบทวนการเล่นของตัวเองบ่อยๆ หรืออาจจะต้องใช้ solver หรือโปรแกรมช่วยคำนวณ เมื่อเล่นเกมในระดับที่สูงขึ้น จึงจะมีโอกาสที่ฝีมือการเล่นแคชเกมของเราจะพัฒนาไปได้ไกลขึ้นตาม

ส่วนกลยุทธ์การเล่นในทัวร์นาเมนต์ที่แนะนำ มีดังนี้ :

กลยุทธ์ที่แนะนำสำหรับทัวร์นาเมนต์

  1. ลดความรัดกุมลงบ้าง เล่นแบบกล้าเสี่ยง (อย่างมีเหตุผล) มากขึ้น

ด้วยความที่ทัวร์นาเมนต์มี blind ที่ปรับเพิ่มตลอด และมี ante ที่ทำให้ pot เยอะขึ้น และ pot odds คุ้มค่ามากขึ้น มันจึงกระตุ้นให้เราจะเป็นต้องมี action และเสี่ยงมากขึ้น เพราะถ้าเรามัวแต่รัดกุม เราอาจจะโดน blind บีบจนตกรอบ เราจึงต้อง เล่นแบบ loose aggressive มากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากเรื่องของ position ให้ได้มากที่สุด เพื่อใช้ในการขโมย blind ของ SB, BB และเงินใน pot ให้บ่อยขึ้น (โดยเฉพาะเมื่อเราอยู่ในตำแหน่ง Late Position เช่น CO หรือ BTN) และเพื่อให้ bluff และเอาชนะเงินใน pot ได้มากขึ้น (แต่ต้องระวังไม่ให้เสียเงินกับการ bluff ใน postflop บ่อยเกินไป เพราะมันแก้ตัวได้ยาก และมีโอกาสที่คู่แข่งจะ fold น้อยลง เมื่อ stack เหลือน้อยลง)

และเมื่อเราอยู่ในช่วง short stack <20bb เราอาจจะจำเป็นต้องเสี่ยง shove all-in บ่อยขึ้นกับ hand กลางๆ (เช่น Axs, Kxs, small-middle pair อย่าง 22-77) เพราะ stack ของเราเหลือน้อยเกินกว่าจะไปเสี่ยงเล่นต่อใน flop แต่เพื่อความอยู่รอด และการเอาชนะคนอื่นให้ตัวเองไปได้ไกลขึ้น เราก็จำเป็นจะต้องเสี่ยงในสถานการณ์เหล่านี้ให้มากขึ้นกว่าการเล่นแบบแคชเกม 

  1. เน้นการเอาตัวรอด รักษาชิพ มากกว่าเสี่ยงแลกชิพเยอะๆโดยไม่จำเป็น

อาจจะฟังดูแล้วขัดกับหลักการในข้อก่อนหน้า เพียงแต่ในข้อนี้จะหมายถึงว่า การเสี่ยงของเราจะเป็นการเสี่ยงเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย เช่น อยู่ในตำแหน่งที่ดี หรือมีชิพมากกว่าคู่แข่งมากๆ แต่ถ้าเรามีชิพอยู่เยอะพอสมควร และอยู่ใน hand ที่เราไม่ได้มั่นใจมากว่าเราจะ strong พอที่จะชนะคู่แข่งได้ ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงชิพทั้งหมดเพื่อกินชิพของคู่แข่ง เพราะแม้เราอาจจะมีโอกาสที่มีอันดับสูงขึ้น แต่มันก็อาจไม่ได้ทำให้เราได้เงินรางวัลสูงขึ้น (ในช่วงที่เรายังไม่ ITM) หรือต่อให้ได้เงินรางวัลสูงขึ้น มันก็ไม่คุ้มเสี่ยงหากเราแพ้ใน hand นั้นแล้วต้องเสียชิพไปเป็นจำนวนมาก ในสถานการณ์ที่เราไม่ต้องรีบเร่ง ไม่ได้เปรียบมาก (เช่น เรามี stack เยอะพอสมควรและไม่มี position ที่ดี) และไม่มี hand ที่ strong พอจริงๆ เราก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยง เพราะมันอาจมีผลเสียกับเรามากกว่า

  1. ให้ความสำคัญกับเรื่อง ICM และ stack size มากๆ ในเวลาที่เงินรางวัลก้าวกระโดด

ในช่วงที่เงินรางวัลก้าวกระโดด (เช่น ช่วงที่ใกล้จะ ITM โดยเหลือผู้เล่นอีกไม่เกิน 10 คน, ช่วงที่อยู่ในตำแหน่งที่เงินรางวัลใกล้จะขยับไปอีกระดับ หรือช่วงที่ใกล้จะเข้า final table) คือช่วงที่ ICM จะมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจเล่น ร่วมกับการประเมินเรื่องของ stack size ทั้งของเราและของผู้เล่นคนอื่นๆบนโต๊ะ (หรืออาจจะรวมถึงคนที่อยู่บนโต๊ะอื่นด้วย) โดยเราต้องเล่นอย่างรัดกุมเป็นพิเศษในช่วงเวลานี้ หากเรามี stack อยู่อันดับกลางๆ (แบบที่ ITM อยู่แล้ว หรือไม่ได้อยู่อันดับสูงมากนัก) เราควรจะเล่นให้ tight ที่สุดถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่โดนบีบเหมือน short stack หรืออยู่ในสถานะที่สามารถกดดันคนอื่นโดยที่ตัวเองไม่เสียหายมาก อย่างคนที่มี stack เยอะๆหรือพวก chip leader ได้ เพราะถ้าหากเราพลาด เสียชีพไป อาจจะทำให้อันดับเราเปลี่ยนอย่างมาก ส่งผลต่อเงินรางวัลที่เราจะได้อย่างมหาศาล

(ในขณะที่ short stack หรือคนที่ยังไม่ได้ ITM หรือคนที่มีชิพน้อยที่สุดในโต๊ะ นั้นอาจจะต้องเสี่ยงมากกว่า เพราะถ้าไม่เสี่ยง โอกาสตกรอบก็สูง หรือคนที่ deep stack มากๆ ก็อาจฉวยโอกาสขโมย pot ในช่วงที่ ICM สูงๆได้ง่ายขึ้น เพราะมีโอกาสสูงที่คนอื่นๆจะหมอบให้เพราะไม่กล้าเสี่ยงในช่วงนี้ ถ้าไม่ใช่ short stack จริงๆ หรือต่อให้ short stack all-in ใส่แล้วเขา call ตามแล้วแพ้ เขาก็ยังไม่เสียหายมากเพราะ stack ยัง deep อยู่)

  1. เตรียม bankroll ให้มากพอ สำหรับรองรับความผันผวนที่สูง

จากที่เราเรียนรู้ไปแล้วว่า ทัวร์นาเมนต์นั้น มีความผันผวนของ bankroll สูงกว่าแคชเกมมาก ดังนั้น เผื่อที่จะรับความผันผวนดังกล่าว ไม่ให้เรารู้สึกเครียดกับการเสีย buy-in หรือตกรอบบ่อยๆจนเกินไป เราจึงควรมี bankroll ที่มากเพียงพอ อย่างน้อย 50-100 buy-in สำหรับการเล่นทัวร์นาเมนต์ (รายละเอียดศึกษาเพิ่มเติมได้ในบทที่เกี่ยวกับ bankroll management)

  1. หากอยากเก่งต้องศึกษาการเล่น preflop ให้มาก เพราะมีความซับซ้อนมาก

ตรงกันข้ามกับแคชเกม เนื่องจากเราต้องเล่นทัวร์นาเมนต์ในสภาวะ short-medium stack ค่อนข้างบ่อย ดังนั้น การเล่นช่วง preflop จะมีผลมากกว่าการเล่นช่วง postflop เพราะถ้าเราตัดสินใจตอนเล่น preflop พลาดเพียงก้าวเดียวในช่วงที่ stack เราเหลือไม่เยอะ มันอาจจะหมายถึงการตกรอบและเสีย buy-in หรือเงินรางวัลที่เรามีโอกาสจะได้เพิ่มขึ้นทั้งหมดไปในทันที เราจึงต้องศึกษากลยุทธ์การเล่นช่วง preflop อย่างละเอียด เพราะมันมีความซับซ้อนและมี range ที่ต้องเล่น รวมถึงวิธีการเล่นที่แตกต่างกัน เมื่อขนาดของ stack เปลี่ยนแปลงไป (เช่น เมื่อ stack ลดลงจาก 40bb เหลือ 30bb เราอาจจะต้องลดการ 3-bet ลงมา call มากขึ้น หรืออาจจะ raise all-in มากขึ้นกับบาง hand เพื่อเลี่ยงการเล่นตอน preflop เมื่อเหลือ stack น้อย หรือเล่นโดยที่เราไม่ต้องเสี่ยงกับชิพจำนวนมาก) ดังนั้น ใน stack size แต่ละช่วง ก็จะมีกลยุทธ์ของมันเองที่เราต้องศึกษาอย่างละเอียด หากจะอยากเล่นให้เก่งขึ้น  

จะเห็นว่า การเล่นแต่ละประเภท ก็มีจุดที่ต้องให้ความสำคัญและมีรายละเอียด รวมถึงกลยุทธ์ที่สำคัญในการเอาชนะที่แตกต่างกัน เราจึงจำเป็นต้องปรับการเล่นให้สอดคล้องกับเกมแต่ละแบบ ซึ่งหากถามว่า “แล้วเราสมควรจะเล่นเกมไหนดี?” หรือ “เราควรจะเล่นแคชเกมหรือทัวร์นาเมนต์มากกว่ากัน?” เราก็ต้องมาดูความเหมาะสมของแต่ละเกม กับความถนัด หรือความชื่นชอบของเรา เพราะมันไม่มีกฎตายตัว และแต่ละเกมก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป เช่น :

แคชเกมจึงเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาเล่นโป๊กเกอร์มากนักในแต่ละวัน และตั้งใจจะวางแผนหาเงินหรือทำกำไรจากเกมโป๊กเกอร์ให้ได้ค่อนข้างสม่ำเสมอหน่อย หรืออาจจะถนัดการเล่นแบบ deep stack และการเล่น postflop มากกว่า และมีการบริหารความเสี่ยงในแต่ละ session ได้ดีพอสมควร

ทัวร์นาเมนต์จึงเหมาะกับคนที่มีเวลาว่างที่แน่นอนเป็นระยะเวลานานพอ และมีเงินใน bankroll มากพอที่จะรับความผันผวนได้ รวมถึงมีเป้าหมายที่ต้องการลิ้มรสความสำเร็จของการเป็นผู้ชนะ เกียรติยศและชื่อเสี่ยง (อาจจะมากกว่าเรื่องของกำไรที่จะได้ เพราะคาดหวังได้ค่อนข้างยากกว่า) สักครั้งในชีวิต

ในความเป็นจริงแล้ว เราอาจจะไม่จำเป็นต้องกำหนดให้ตัวเองเล่นแค่เฉพาะแคชเกม หรือทัวร์นาเมนต์ เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเราสามารถเล่นเกมทั้ง 2 รูปแบบไปพร้อมๆกันได้ โดยช่วงไหนที่เรามีเวลาน้อย เราอาจจะเล่นแคชเกมเป็นหลัก เพื่อสะสมกำไร และช่วงไหนที่เราพอมีเวลาพอสมควร เราอาจจะแบ่งกำไรบางส่วนที่ได้จากแคชเกม มาสมัครเล่นทัวร์นาเมนต์ เพื่อโอกาสที่เราจะระเบิด bankroll ให้เราเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ ถ้าเราโชคดีพอ ควบคู่ไปด้วยกัน ก็อาจจะทำให้เส้นทางการเล่นโป๊กเกอร์ของเราได้ประโยชน์กว่าการเลือกเล่นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้

====================================================================

บทสรุปจากบทที่ 4