เมื่อเรามีประสบการณ์ในเกมโป๊กเกอร์มากขึ้น เราจะเริ่มมีการวิเคราะห์เกมกลยุทธ์ในส่วนต่างๆมากขึ้นตามไปด้วย และสำหรับในบทเรียนนี้เราจะมาดูรายละเอียดของ Board Texture แต่ละรูปแบบว่ามีลักษณะพิเศษอย่างไรและมีความสัมพันธ์ต่อ Bet Strategy ของเราอย่างไรบ้าง 

เป้าหมายในการ Bet

สิ่งสำคัญในเกมโป๊กเกอร์คือเราต้องรู้เหตุผลในทุกแอคชั่นเสมอ  ถ้าเราได้ตัดสินใจที่จะ bet แล้วเราจำเป็นต้องรู้ว่า bet เพื่ออะไร และอีกสิ่งที่สำคัญคือเราต้องตัดสินใจด้วยว่าจะใช้ bet size เท่าไหร่ให้เหมาะสม  สรุปก็คือเราต้องรู้ว่า bet-ทำไม และ bet-เมื่อไหร่ และ bet-เท่าไหร่

3 เหตุผลทั่วไปในการ Bet:

3 ลำดับปัจจัยสำคัญที่สุดของ Bet Strategy:

Board Texture

ผู้เล่นที่ดีจะไม่โฟกัสแต่เฉพาะกับไพ่ของตัวเองเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีความสามารถในการแยกแยะประเภทของ flop หรือ board texture  เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจที่ตามมาซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การเล่นของเรา    

โดยหลักแล้วเราสามารถแบ่งประเภทของ board ตามความ “dry” หรือ “wet” ของมัน

Dry board

คือบอร์ดที่ไม่มีไพ่ connect ไม่มี draw และมีโอกาสเปลี่ยนแปลงน้อย

ตัวอย่าง:

A♠7♦2♣

3♣3♠K♥

10♠2♥6♣

Wet board

คือบอรด์ที่มีไพ่ connect และ/หรือมี draw ทำให้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้มากมาย

ตัวอย่าง:

10♦8♠7♠

A♣Q♣10♦

5♠4♦6♣

แต่ในการเล่นจริงเรายังสามารถแบ่งย่อยประเภทของ Board Texture ได้อีกมากมาย เช่น low unpaired board (8♠2♥6♣), dynamic board (10♦8♠4♠), static low board (6♠6♥2♣), wet low board (5♠4♣6♣), monotone board (A♣Q♣10♣)

เราจะต้องทำการประเมิน hand ranking ของเรากับ board texture และโอกาสที่คู่ต่อสู้จะมี hand ที่ดีกว่าเรา  ต้องคิดวางแผนไว้ล่วงหน้าเสมอว่าถ้าถูก raise จะทำอย่างไร เช่น ถ้าเราถือ A♠K♦ อยู่ใน BTN และได้ raise ไป 3bb จากนั้นมีผู้เล่นใน BB call มาอีกหนึ่งคน

สถานการณ์ที่ 1: A♥7♦3♣ ซึ่งเป็น dry flop

สถานการณ์ที่ 2: A♥10♦9♦ ซึ่งเป็น wet flop ที่มี draw มากมาย

จะเห็นว่าทั้งสองสถานการณ์นี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และส่งผลให้กลยุทธ์การเล่นของเราแตกต่างไปด้วยเช่นกัน ตามหลักการแล้วเราจะใช้ c-bet เล็กๆกับ dry board หรือ static board เพราะเป็น board ที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก  hand ของเราจะนำมากๆ หรือไม่ก็ตามหลังมากๆ ไปเลย จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ bet size ใหญ่ๆที่จะกดดันให้คู่ต่อสู้ต้องหมอบ weak hand range ออกไป  แต่การใช้ bet size เล็กๆจะเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ call ได้กว้างขึ้นและทำให้เราได้ value เพิ่มขึ้นจากหลักการนี้  และข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือเราจะประหยัดเงินมากขึ้นกับ bluff range ของเราด้วย  เพราะลองคิดดูว่าเมื่อคู่ต่อสู้มี  weak hand range อยู่มาก ก็มีโอกาสที่จะหมอบมากขึ้นอยู่แล้วไม่ว่าเราจะใช้ bet size เท่าไหร่   

ในทางตรงกันข้ามถ้า board ยิ่ง wet เราจะยิ่ง c-bet ใหญ่ขึ้น เพราะเป็น board มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้มากในแต่ละ street ต่อไป  เมื่อเปรียบเทียบกับ dry board หรือ static board…ในตอนนี้ hand ของเราที่นำอยู่บน wet flop นั้นมีความเปราะบาง (vulnerable) กว่ามากและอาจถูกแซง (outdraw) ได้ตลอดเวลา  เราต้องการใช้ bet size ใหญ่ๆกับ wet board เพื่อกดดันให้คู่ต่อสู้ที่ถือ draw hand ต่างๆไม่สามารถ call มาได้ง่ายเกินไปและจะต้องยอมจ่ายเพื่อได้เล่นใน street ต่อไป     

แนะนำให้ใช้ bet size เพียง 2 ขนาด (หรือสูงสุด 3 ขนาด) สำหรับ flop และ turn  เช่น 33%  และ 66%  และให้ใช้เหมือนกันทุกครั้งเพื่อให้ balance  เพราะ5ยิ่งใช้ bet size หลายขนาดมากเท่าไหร่ก็ยิ่ง balance strategy กับทุก bet size ได้ยากขึ้นเท่านั้น   ผู้เล่นบางคนแอบปรับ bet size ขึ้นเล็กน้อยเป็น 35% ในเวลาที่ value bet และปรับลงเล็กน้อยเป็น 30% ในเวลาที่ bluff แต่เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำเพราะจะทำให้เราติดเป็นนิสัยและถูก exploit จากผู้เล่นที่เก่งๆได้ง่าย  แต่ในส่วนของ river เราสามารถเลือกใช้ bet size ได้หลากหลายมากขึ้น 

เพื่อให้เห็นภาพและเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจะมาวิเคราะห์จากบางตัวอย่างของ Board Texture ที่เราเจอกันบ่อยที่สุด  โดยเราจะใช้ strategy จากหลักการที่เราได้กล่าวไปแล้วในด้านบน 

Rainbow Disconnected Board 

เป็น dry board ที่ไพ่คนละดอกกันทั้ง 3 ใบ แทบไม่มีอะไร connect และ ไม่มี draw มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ยาก

ตัวอย่าง

Paired Board

เป็น static dry board ลักษณะพิเศษที่มีโอกาสติดได้ยากเพราะมี hand combo น้อยลงที่จะสามารถ connect กับพวกมันได้  จะเข้ากับหลักการที่ว่าส่วนใหญ่จะไม่ติดอะไรเลย หรือไม่ก็ติดใหญ่ๆไปเลย 

ตัวอย่าง

Preflop aggressor: ปัจจัยแรกที่เราจะคำนึงถึงคือ board texture ซึ่งในกรณีนี้เป็น dry board  และถ้าเรามี range advantage เหนือคู่ต่อสู้  c-bet strategy จะเป็นการใช้ bet size เล็กลง โดยเฉพาะในเวลาที่เรา in position  เหตุผลก็เพราะว่าคู่ต่อสู้มักจะไม่ติดอะไรมากนัก และการใช้เพียง bet เล็กๆก็สามารถกดดัน range จำนวนมากของคู่ต่อสู้ได้   

Preflop caller: สำหรับผู้เล่นในฝ่ายรับ เราจำเป็นต้อง call ด้วย hand ที่อ่อนกว่าบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเจอกับ bet เล็กๆ  บางครั้งเราควรจะ call ด้วยไพ่อย่างพวก overcard + backdoor flush draw หรือแม้แต่ A-high ที่มี overcard ไปถึง mid-card  ซึ่ง calling strategy ของฝ่ายรับจะขึ้นอยู่กับ bet size ของคู่ต่อสู้ว่าใหญ่มากแค่ไหน

Rainbow Connected Board

ถึงแม้ว่าจะเป็น board ที่ไพ่ยังเป็นคนละดอกกันทั้ง 3 ใบ แต่ก็มีความ connect ของไพ่เพิ่มขึ้นและมีโอกาสของ straight draw ได้ 

ตัวอย่าง

Preflop aggressor: เป็นบอร์ดที่เราจะใช้ c-bet strategy เพื่อ protect hand ของเราและเพื่อกดดันคู่ต่อสู้มากกว่าหลังจากที่ได้พิจารณาถึง range advantage แล้ว  โดยเฉลี่ยแล้วเราควรจะ bet ใหญ่ขึ้นกับบอร์ดลักษณะนี้  เพราะมี hand จำนวนมากที่มี equity ดีๆและเราจำเป็นต้องกดดันให้คู่ต่อสู้จ่ายเพื่อจะได้เห็น turn

Preflop caller: สำหรับผู้เล่นในฝ่ายรับ บอร์ดนี้จะเล่นคล้ายๆกับ rainbow disconnected boards มาก โดยเรายังจะ call บ่อยๆด้วย marginal hand และควรใช้ bluff check-raise ที่สามารถติด straight ได้และอาจมี backdoor straight + backdoor flush draw อยู่บ้าง

Two-tone Connected Board

เป็น wet board ที่ draw ได้มากมาย และมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้มาก 

ตัวอย่าง

Preflop aggressor: เราควรใช้ polarize bet strategy  ซึ่งหมายความว่าเราจะ bet ใหญ่ๆด้วย range ที่แคบลง เพื่อให้พวก hand ที่กำลัง draw อยู่ไม่ได้ pot odds ที่ดี value-bet ควรจะ strong มากๆด้วย top pair second kicker อย่างต่ำ

Preflop caller: สำหรับผู้เล่นในฝ่ายรับ เรามักจะไม่ได้เจอกับ small bet บนบอร์ดลักษณะนี้ ทำให้เราไม่จำเป็นต้อง defend ด้วย hand ที่อ่อนมากๆ เช่น พวก weak pair  แต่เราอาจต้องเล่น tight มากขึ้นกว่า dry board เพราะผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะ bluff น้อยลงและ value-bet thinner กว่าปกติ  โดยเราอาจเล่นต่อเฉพาะพวก flush draw หรือ straight draw ดีๆ

สำหรับทั้ง 2 ฝ่ายควรมี check-raise ด้วย combo draw หรือ strong draw อย่าง open-ended straight draw และ gutshot ที่มี backdoor flush draw ด้วย 

Monotone Board

เป็น wet board ที่มีไพ่ดอกเดียวกันทั้ง 3 ใบ 

ตัวอย่าง

ผู้เล่นมือใหม่มักมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ monotone board โดยมักคิดว่าจะต้อง bet ใหญ่ๆเพื่อชาร์จพวก flush draw ที่อาจจะเกิดขึ้น แต่พวกเค้ากลับลืมนึกถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วบน board ลักษณะนี้   มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเราติด set A และ bet ใหญ่ๆบน monotone board ที่คู่ต่อสู้มีโอกาสติด flush ไปแล้วหรือกำลังมี draw ดีๆอยู่  กลยุทธ์การเล่นบน monotone board เราควรใช้ polarize bet strategy และเป็นการ bet ด้วย size ขนาดเล็กเพื่อ protection มากกว่าที่จะเป็น value bet 

แต่ถ้าไพ่ของเราติดเพียงคู่เดียวก็ควรจะ check เป็นส่วนมาก เพราะจะเข้าไปอยู่ในหมวดของ medium strenght hand หรือ bluff-catcher  

เราต้องไม่คิดเพียงแค่ว่าตอนนี้ไพ่ของเรามีอะไร แต่ควรต้องคิดถึงว่า hand ของเรามี equity มากแค่ไหนกับไพ่ของคู่ต่อสู้ที่จะเล่นต่อ  เช่น ถ้าตอนนี้เรามีแค่ top pair แต่ไม่มี re-draw อะไรเลย ในขณะที่คู่ต่อสู้มี 2 overcards และยังมี flush draw ในสถานการณ์นี้เราสมควรจะ bet หรือไม่? เพราะเราแทบไม่ได้นำคู่ต่อสู้เลย  ถ้าเรามี hand equity น้อยกว่า 50% การ bet ของเราจะกลายเป็น value bet ให้กับคู่ต่อสู้ทันที

Board Texture และ Bet Strategy เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนมากๆและสามารถลงรายละเอียดได้เป็นหลายร้อยประเภท เราไม่สามารถท่องจำกลยุทธ์สำหรับทุก Board Texture และ Bet Strategy เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่แตกต่างและส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การเล่นได้  แต่สิ่งสำคัญคือเราควรทำความเข้าใจในหลักการสำคัญของแต่ละ board texture และ bet strategy เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกๆ board texture และทุกสถานการณ์ที่เราจะได้เจอในเกมโป๊กเกอร์ 

♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️

บทสรุปจากบทที่ 10

  1. Board Texture 
  2. Range Advantage 
  3. Position