ขอสวัสดี และยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ Poker Lesson ของ Acec Academy กันนะครับ เชื่อว่า สิ่งที่นำพาทุกคนมายังจุดนี้ น่าจะเป็นเพราะเราต่างก็อยากรู้จัก อยากศึกษา ว่าโป๊กเกอร์คืออะไร เล่นยังไง และจะทำเงินจากมันได้ยังไง แต่ก่อนที่เราจะไปลงลึกกันในบทต่อๆไปนั้น เราควรมาเริ่มกันที่บทนี้ ที่จะปูพื้นฐานขั้นแรกสุดให้ทุกคนกันก่อนดีกว่าว่า สรุปแล้ว โป๊กเกอร์ คืออะไร? และมีวิธีการเล่นยังไง?

โป๊กเกอร์ คืออะไร?

โป๊กเกอร์ (Poker) เป็นเกมไพ่ชนิดหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงไปทั่วโลก มีจุดกำเนิดอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกเมื่อต้นศตวรรษที่ 19 โดยเป้าหมายหลักของการเล่นโป๊กเกอร์ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็คือการพยายามทำให้เรามีไพ่ที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้ หรือพยายามทำให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้ เพื่อให้เราได้เป็นผู้ชนะในตานั้น และได้กินเงินของทุกคน นั่นเอง ซึ่งโป๊กเกอร์นั้น สามารถแยกย่อยรูปแบบการเล่นไปได้อีกหลากหลายรูปแบบ 

แต่โป๊กเกอร์ประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก และเป็นประเภทที่เราจะมาศึกษากันเป็นหลัก ก็คือโป๊กเกอร์ที่มีชื่อว่า Texas No Limit Hold’em หรือเรียกย่อๆว่า NLHE นั่นเอง โดยเกมประเภทนี้ ผู้เล่นจะได้รับแจกไพ่คนละ 2 ใบ โดยมีจุดประสงค์คือ นำไพ่ที่ได้รับแจกไปรวมกับไพ่กองกลางอีก 3-5 ใบ แล้วเลือกไพ่มา 5 ใบ เพื่อให้เป็นไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุด (ไม่จำเป็นต้องเลือกไพ่จากมือตัวเองทั้งหมดก็ได้) ใครชนะ ก็จะได้กินเงินกองกลางของทุกคนไปแต่เพียงผู้เดียว (ส่วนรายละเอียดการเล่น เดี๋ยวเราจะมาศึกษากันต่อ)

(ปัจจุบัน มีรูปแบบเกม NLHE แยกย่อยไปอีกหลายรูปแบบ เช่นแบบ 3-1 (ได้รัแจกไพ่ 3 แล้วเลือกทิ้งไพ่ไป 1 ใบ เหลือไว้เล่น 2 ใบ) หรือแบบ Shortdeck หรือ 6+ (เอาไพ่เลข 2-5 แต่ละดอกออกไปจากสำรับ เหลือเล่นไพ่แค่ 6-A เท่านั้น) ที่ทำให้เกมหลากหลายยิ่งขึ้น)

เอาล่ะ เมื่อรู้จักโป๊กเกอร์คร่าวๆแล้ว เรามาเริ่มศึกษารายละเอียดวิธีการเล่นโป๊กเกอร์ NLHE (ต่อไปจะเรียกโป๊กเกอร์เฉยๆ เป็นอันรู้กันว่ามันคือโป๊กเกอร์แบบ NLHE) กันดีกว่า

ในการจะเล่นโป๊กเกอร์นั้น เราต้องรู้จัก 3 องค์ประกอบนี้ก่อนตามลำดับ

ลำดับความแข็งแกร่ง (ความใหญ่) ของไพ่ (Hand Ranking)

ในเกมโป๊กเกอร์นั้น ไพ่ที่เราได้รับแจก, ตาที่เราเล่น หรือระดับความแข็งแกร่งของไพ่ที่เรามีอยู่ เรามักจะเรียกรวมๆกันว่า “Hand” (แฮนด์) (เช่น hand นี้เรามีไพ่ xx, เรามี hand ระดับ xx, หรือ เมื่อ hand ที่แล้วเราเล่นอย่างไร เป็นต้น)

สำหรับโป๊กเกอร์แล้ว ความใหญ่ของไพ่ จะเรียงจาก 2 ไป A ได้แก่ 2 3 4 5 6 7 8 9 T(Ten จะใช้ตัวย่อ T แทน 10 เพราะต้องใช้ตัวอักษรแค่ตัวเดียว) J Q K A (โดย A เดี่ยวๆจะใหญ่ที่สุด แต่ถ้าต้องเรียง สามารถเรียงจากต่ำสุดเป็นตัวแรก คือ A 2 3 4 5 ได้เช่นกัน)

โดยที่แต่ละดอกคือ

♣ ดอกจิก (club, c)

♦ ข้าวหลามตัด (diamond, d)

♥ โพธิ์แดง (heart, h)

♠ โพธิ์ดำ (spade, s)

มีค่าเทียบเท่ากัน ไม่มีดอกไหนใหญ่กว่ากัน

และอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า จุดประสงค์ของเกมอย่างหนึ่งคือ เราต้องพยายามมีไพ่ 5 ใบที่แข็งแกร่งที่สุด (หรือมี hand ที่ใหญ่ที่สุด) ซึ่งลำดับของแข็งแกร่งหรือความใหญ่ของ hand สามารถเรียงตามลำดับได้ ดังนี้ :

  1. High End / High Card (ไพ่ใหญ่) คือ ผสมแล้วไม่มีไพ่ใดๆที่เหมือนกัน / ดอกเดียวกันหมด หรือเลขเรียงกันเลย ความใหญ่จะเลือกจากไพ่ที่ใหญ่ที่สุด เช่น เราถือ K8 รวมกับไพ่กองกลาง 4 6 3 เรามี High Card โดยที่ไพ่ใหญ่สุดคือ K รวมเป็น K 8 6 4 3
  1. One Pair (1 คู่) คือ ผสมแล้วมีไพ่ที่เหมือนกัน 2 ใบ เช่น เราถือ 96 รวมกับไพ่กองกลาง T 6 2 แบบนี้รวมกันคือเรามี 1 คู่ คือคู่ 66 และอีก 3 ใบคือ 10 9 2 รวมเป็น 6 6 10 9 2 
  1. Two Pair (2 คู่) คือ ผสมแล้วมีไพ่ที่เหมือนกัน 2 ใบ 2 คู่ เช่น เราถือ 95 รวมกับไพ่กองกลาง 9 5 3 แบบนี้รวมกันคือเรามี 2 คู่ คือ 99 55 และอีกใบคือ 3 รวมเป็น 9 9 5 5 3
  1. Three Of A Kind / Trips / Set (ตอง) คือ ผสมแล้วมีไพ่ที่เหมือนกัน 3 ใบ เช่น เราถือ KK รวมกับไพ่กองกลาง K 5 8 แบบนี้รวมกันคือเรามี Set คือ KKK และอีก 2 ใบคือ 5 8 รวมเป็น K K K 8 5
  1. Straight (เรียง) คือ ผสมแล้วมีไพ่เรียงติดกัน 5 ใบ เช่น เราถือ 67 รวมกับไพ่กองกลาง 3 4 5 แบบนี้รวมกันคือเรามี straight คือเรียงกันได้ 3 4 5 6 7 เลย (A สามารถเรียงได้ทั้ง straight ที่เล็กที่สุดคือ A 2 3 4 5 และใหญ่ที่สุดคือ 10 J Q K A) 
  1. Flush (ดอก) คือ ผสมแล้วมีไพ่ที่ดอกเหมือนกันทั้ง 5 ใบ เช่น เราถือ 8♦7♦ รวมไพ่กองกลาง 6♦ 4♦ 2♦ แบบนี้รวมกันคือเรามี flush คือ 8♦7♦6♦4♦2♦
  1. Full House (ตอง+คู่) คือ ผสมแล้วมีไพ่ตอง + 1 คู่ เช่น เราถือ Q6 รวมกับไพ่กองกลาง Q Q 6 แบบนี้รวมกันคือเรามี full house คือ Q Q Q 6 6
  1. Four Of A Kind / Quads (4 ใบ) คือ ผสมแล้วมีไพ่เหมือนกัน 4 ใบ เช่น เราถือ AA รวมกับไพ่กองกลาง A A 8 แบบนี้รวมกันคือเรามี Quads คือ A A A A 8 
  1. Straight Flush (เรียง+ดอก) คือ ผสมแล้วมีไพ่เรียงกันและดอกเหมือนกันทั้ง 5 ใบด้วย เช่น เราถือ 8♣7♣ รวมกับไพ่กองกลาง 4♣5♣6♣  แบบนี้รวมกันคือเรามี straight flush คือ 4♣5♣6♣7♣ 8♣
  1. Royal Flush (เรียงสูงสุด+ดอก) คือ ผสมแล้วเรามี straight flush ที่ใหญ่ที่สุดคือ 10 J Q K A ที่ดอกเดียวกันหมดนั่นเอง

การชนะกันตามความใหญ่ของ hand นั้น จะสามารถชนะกันได้ 2 รูปแบบ

  1. คนละระดับ : ระดับใหญ่กว่า ชนะ ระดับเล็กกว่า

ตัวอย่าง

  1. ระดับเดียวกัน : ไพ่ใหญ่กว่า ชนะ ไพ่เล็กกว่า

กรณีนี้จะซับซ้อนกว่าการชนะคนละระดับเล็กน้อย เพราะต้องมีการเลือกและเทียบไพ่ในระดับเดียวกัน

ตัวอย่าง

Blind (บลาย)

blind นั้น ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆก็คือ “ระดับราคาของเกม” ที่เกมกำหนดเทียบกับค่าเงินต่างๆ (เช่น บาท หรือ ดอลลาร์ $) ว่า 1 blind จะเท่ากับเท่าไหร่ ที่ต้องกำหนดเป็นอย่างนี้ เพราะในการเล่นโป๊กเกอร์ เราจะมีการเดิมพันเงินแข่งกัน มีการเกทับกัน จึงต้องมีการกำหนดราคา เพื่อเป็นกติกาว่า ขั้นต่ำที่ต้องลงเงินหรือเกทับ ต้องเป็นเท่าไหร่นั่นเอง เช่น กำหนดให้ 1 blind = 20 บาท เป็นต้น และในการกำหนด blind นี้ จะมีการเรียกอีกกว่า 1 blind เราจะเรียกว่า “big blind” (bb) ส่วน ½ blind เราจะเรียกว่า “small blind” (sb) ซึ่งจะมีค่าเป็นครึ่งหนึ่งของ big blind เสมอ ในการเรียกระดับราคาของเกมเกมหนึ่ง เราจะเรียกในรูปแบบ small blind / big blind เช่น เกมที่กำหนดให้ blind หรือ bb เท่ากับ 20 บาท sb จึงเท่ากับ 10 บาท ก็คือเกม 10/20 บาท หรือกำหนดให้ blind = $5 sb/bb ก็คือ $2.5/$5 นั่นเอง 

ขั้นตอนการเล่น

เอาล่ะ หลังจากที่เรารู้จักลำดับความใหญ่ของ hand และเรื่องเกี่ยวกับ blind แล้ว ตอนนี้เราจะมาเข้าสู่ขั้นตอนการเล่นกันสักที ว่าจะเริ่มเล่นและมีลำดับการเล่นยังไง

การเล่นโป๊กเกอร์นั้น ให้ลองนึกภาพตามว่า จะเป็นการเล่นบน “โต๊ะกลม” โดยมีผู้เล่นนั่งอยู่รอบๆโต๊ะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะกำหนดให้มีผู้เล่นได้สูงสุด 6-9 คนต่อโต๊ะ และจะแจกไพ่แบบคว่ำให้ทุกคนบนโต๊ะ (จะไม่มีใครเห็นไพ่คนอื่น ยกเว้นไพ่ในมือตัวเอง) หมุนรอบตามเข็มนาฬิกา และจะมีการเดิมพันกันเป็นรอบๆ 

ตำแหน่งการเล่น

บนโต๊ะนั้น จะมีการกำหนดตำแหน่งที่สำคัญอยู่ 3 ตำแหน่งให้กับผู้เล่นที่นั่งอยู่ ตำแหน่งแรกที่ถูกกำหนดคือตำแหน่ง Dealer หรือ Button (BTN) ซึ่งถือเป็นตำแหน่งศูนย์กลางในการเล่น เพราะไพ่จะถูกแจกให้คนที่อยู่ถัดจากตำแหน่งนี้ “ซ้ายมือ” เป็นคนแรก และมาจบที่ BTN นี้เป็นคนสุดท้าย และเวลาจะเล่นแต่ละรอบ คนที่อยู่ถัดจาก BTN ไปซ้ายมือก็จะต้องตัดสินใจก่อนเสมอ และ BTN จะเป็นคนสุดท้ายที่ได้ตัดสินใจเสมอ ซึ่งแหน่งที่อยู่ถัดจาก BTN ไปซ้ายมือคนแรก คือตำแหน่งของ Small Blind (SB) ที่ก่อนเริ่มเล่น จะต้องถูกบังคับให้ลงเงินเท่ากับ sb ก่อนเสมอ (อย่าสับสนระหว่าง SB กับ sb แม้จะคือ small blind เหมือนกัน โดยที่ SB คือตำแหน่ง Small Blind แต่ sb คือราคา small blind) และตำแหน่งถัดจาก SB ไปทางซ้ายถัดไป ก็คือตำแหน่ง Big Blind (BB) ที่ต้องถูกบังคับให้ลงเงินเท่ากับ bb ก่อนเสมอ (เช่นเดียวกัน BB คือตำแหน่ง Big Blind และ bb คือราคา big blind) เช่น เกมราคา 10/20 บาท ก่อนจะเริ่มเล่น SB ต้องลงเงิน 10 บาท และ BB ต้องลงเงิน 20 ไว้ที่ด้านหน้า (เรียกว่าหน้าตัก) ของเราก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะเริ่มเล่นกัน 

Action ในการเล่น

ในการเล่นโป๊กเกอร์นั้น ผู้เล่นจะมี action ที่สามารถเลือกตัดสินใจเล่นได้อยู่ 5 อย่าง 

(หากการเล่นผลัดกลับไปหาคนที่ Bet อีกครั้ง คนที่ Bet ก็สามารถเลือกที่จะ Call คนที่ Raise ตัวเอง ด้วยการจ่ายเงินเดิมพันเพิ่ม จนเท่ากับเงินที่ Raise มา หรือเลือกที่จะ Raise กลับไปอีกรอบ อย่างน้อยเท่ากับ 2 เท่าของจำนวนที่ Raise มาอีกครั้งหนึ่งก็ได้ เรียกว่าการ Re-Raise ซึ่งคนที่ Raise ก็สามารถ Re-Raise ใส่คนที่ Re-Raise กลับอีกรอบได้เช่นกัน และหากการ Raise หรือ Re-Raise นั้น เป็นการเดิมพันเงินทั้งหมดที่เหลือของตัวเอง จะเรียกว่าการ All-In (เทหน้าตัก) นั่นเอง

รอบการเล่น

ใน 1 ตา (หรือ hand หนึ่งๆ) จะมีการเล่นกันสูงสุด 4 รอบ โดยแต่ละรอบจะมีชื่อเรียก ดังนี้

โดยในแต่ละรอบ จะมีขั้นตอนการเล่น ดังนี้ 

รอบที่ 1 : Preflop  

หลังจากที่ทุกคนมานั่งรอบโต๊ะ และมีการกำหนดคนที่จะเป็น BTN, SB (ที่ต้องลงเงินครึ่งหนึ่งของ bb) และ BB (ที่ต้องลงเงินเท่ากับ 1 bb) แล้ว จากนั้นคนแจกไพ่ก็จะเริ่มแจกไพ่ใบแรกให้กับ SB เป็นคนแรก และวนไปจบที่ BTN เป็นคนสุดท้าย แล้วก็จะแจกไพ่ใบที่สองให้กับ SB ใหม่ และไปจบที่ BTN ใหม่อีกครั้ง

เมื่อทุกคนได้รับแจกไพ่ 2 ใบเท่ากันหมดแล้ว การเล่นรอบ Preflop จะเริ่มขึ้น โดยคนที่ต้องตัดสินใจคนแรก (เลือก action คนแรก) ก็คือ คนที่อยู่ถัดจาก BB ไปทางซ้ายคนแรก ซึ่งคนนี้ก็สามารถเลือกที่จะ Call, Bet หรือ Fold ได้เท่านั้น (ไม่สามารถเลือก Check ได้ เพราะมี BB โดนบังคับ Bet ลงเงินมาแล้ว 1 bb และยังเลือก Raise ไม่ได้ เพราะยังไม่มีใคร Bet มาก่อนหน้า) หลังจากคนแรกตัดสินใจเสร็จ การตัดสินใจก็จะวนถัดไปทางซ้ายเรื่อยๆ จนมาถึง SB ก็ต้องตัดสินใจแบบเดียวกัน (แต่หาก Call ก็จะ Call แค่ ½ bb เท่านั้น เพราะลงเงินมาแล้ว ½ bb) และจะมาจบที่ BB โดยที่หากรอบ Preflop ไม่มีคน Bet มาเลย มีแต่คน Call มาเรื่อยๆ (การ Call ให้เท่ากับ 1 bb ในรอบ Preflop เรียกอีกอย่างว่าการ “Limp”) คนที่เป็น BB สามารถเลือกที่จะ Check เพื่อขอผ่านให้จบรอบได้ เนื่องจากตัวเองไม่ต้องลงเงินเพิ่ม แต่หากมีคน Bet หรือ Raise มา แล้วต้องการเล่นรอบต่อไป BB ก็จำเป็นต้อง Call ให้เท่ากับเงินเดิมพันส่วนที่เหลือนั้น ให้เท่ากับจำนวนที่ Bet หรือ Raise มา 

เมื่อทุกคนเล่นเรียบร้อยแล้ว เงินที่หน้าตักของแต่ละคนที่ Bet, Raise หรือ Call มา (รวมถึงเงินส่วนที่เป็น sb และ bb) จะถูกนำมารวมกัน แล้วไว้ที่กลางโต๊ะเป็นเงินกองกลาง ซึ่งจะถูกเรียกว่า “Pot” และต่อจากนี้เมื่อเล่นจบแต่ละรอบ เงินเดิมพันแต่ละรอบก็จะเอามารวมสะสมใน Pot มากขึ้นเรื่อยๆ

รอบที่ 2 : Flop

หลังจากทุกคนตัดสินใจรอบ Preflop เสร็จ คนที่เหลืออยู่ที่ยังไม่ได้ Fold ในรอบที่แล้ว ก็จะได้เล่นต่อในรอบ Flop นี้ โดยคนแจกไพ่จะเริ่มเปิดไพ่กองกลาง 3 ใบ (3 ใบนี้เรียกรวมกันว่า Flop ทำให้รอบนี้เรียกว่ารอบ Flop และรอบก่อนหน้านี้เรียกว่ารอบ Preflop นั่นเอง) และเริ่มเดิมพันกันต่อในรอบที่สอง

ในรอบนี้ ผู้เล่นคนแรกที่ได้ตัดสินใจ คือผู้เล่นที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ ถัดจาก BTN ที่ยังเหลืออยู่คนแรก (หาก SB ยังไม่ Fold ก็จะเป็น SB แต่หาก SB Fold ไปแล้ว ก็จะเป็นคนถัดไป ถ้าคนถัดไป Fold ก็จะเป็นคนที่ถัดไปอีกต่อไปเรื่อยๆ) โดยคนแรกนี้มี action ที่สามารถเลือกที่จะ Check ก่อนได้ เนื่องจากยังไม่มีใคร Bet ในรอบใหม่ เมื่อผู้เล่นที่เหลืออยู่ตัดสินใจกันครบหมดแล้ว และรวมเงินของแต่ละคนเข้า Pot แล้ว เราก็จะเข้าสู่รอบถัดไปนั่นคือรอบ Turn 

รอบที่ 3 : Turn

ในรอบ Turn คนแจกไพ่จะเปิดไพ่กองกลางเพิ่มอีก 1 ใบ และเริ่มเดิมพันกันในรอบที่สาม ในรอบนี้ผู้เล่นคนแรกที่ได้ตัดสินใจ คือผู้เล่นที่อยู่ทางด้านซ้ายมือถัดไปคนแรกถัดจาก BTN ที่เหลืออยู่ เหมือนกับรอบที่แล้ว เมื่อผู้เล่นทุกคนตัดสินใจกันครบหมดแล้ว และนำเงินรวมใน Pot เราก็จะเข้าสู่รอบสุดท้ายนั่นคือการเล่นรอบ River 

รอบที่ 4 : River

ในรอบ River คนแจกไพ่จะเปิดไพ่กองกลางเพิ่มอีก 1 ใบ ซึ่งถือว่าเป็นใบสุดท้ายของเกม ทำให้มีไพ่กองกลางครบ 5 ใบ และเริ่มเดิมพันกันในรอบสุดท้าย ในรอบนี้ผู้เล่นคนแรกที่ได้ตัดสินใจคือผู้เล่นที่อยู่ทางด้านซ้ายของ BTN ที่ยังเหลืออยู่เหมือนกับรอบก่อน ๆ เมื่อผู้เล่นทุกคนตัดสินใจกันครบหมดแล้ว ผู้เล่นที่ยังคงอยู่ในเกมจะต้องเปิดไพ่ในมือมาวัดกัน (เรียกว่าการ Showdown) เพื่อตัดสินว่าไพ่ของใครดีที่สุดนั่นเอง โดยคนที่ Bet / Re-Raise จะต้องเป็นคนเปิดไพ่ก่อน ส่วนคนที่ Call หากเหลือ 2 คน คนที่ Call เลือกได้ว่าจะเปิดไพ่ให้ดูไหม หรือหากรู้ว่าตัวเองแพ้ จะปิดไพ่แล้วบอกว่าตัวเองแพ้ (เรียกว่าการ Muck) ก็ได้เช่นกัน แต่หากเหลือ 3 คน คนที่ Call ต้องเปิดไพ่ให้ดูทุกคนเพื่อหาว่าใครใหญ่ที่สุด และคนที่มี hand ที่ใหญ่ที่สุด ก็จะได้เงินใน Pot ทั้งหมดไปเพียงคนเดียว

ตัวอย่างการ Showdown ไพ่

เมื่อผู้เล่นที่เหลือ showdown ไพ่ในมือตัวเองแล้ว ดังตัวอย่างรูปทางด้านบน เราจะเห็นว่าผู้เล่นที่ถือ T9 เป็นผู้ชนะใน hand นี้ และได้เงินทั้งหมดไป เนื่องจากเมื่อนำไพ่ในมือมารวมกับไพ่กองกลางแล้ว จะทำให้เขาติด Full House 999TT ซึ่งถือว่าใหญ่กว่า Full House ของคนที่ถือ 55 (Full House 55599) และใหญ่กว่า 2 Pair ของคนที่ถือ AK (2 Pair AA99K) นั่นเอง

ในอีกทางหนึ่ง หากรอบใด มีผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง Bet หรือ Raise แล้วไม่มีคน Call ตาม แต่ Fold กันหมด จะทำให้คนที่ Bet หรือ Rasie นั้น ชนะเงินใน Pot ไปในทันที โดยไม่ต้องเล่นในถึงรอบ River เลยก็ได้เช่นกัน

และทั้งหมดนั้น ก็คือ วิธีการเล่น NLHE ตั้งแต่ต้นจนจบ หวังว่าจะสามารถทำให้ผู้ที่เพิ่งหันมาสนใจโป๊กเกอร์และเรียนรู้วิธีเล่น จะเข้าใจพื้นฐานของการเล่นโป๊กเกอร์ได้ง่ายขึ้นกันนะครับ

แต่จงรับรู้ไว้ว่า จนถึงจุดนี้ มันจะทำให้เราแค่ “เล่นเป็น” เท่านั้น แต่กว่าที่เราจะ “เล่นเก่ง” จนถึงขั้นทำกำไรระยะยาวได้ ยังเหลือความรู้ให้เราได้เรียนรู้อีกมาก 

โปรดติดตามและศึกษาได้ในบทถัดๆไปครับ

♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣️♦️♠️❤️♣

บทสรุปจากบทที่ 1